ถุงพลาสติก คือ ภาชนะที่ใช้สำหรับบรรจุสิ่งของทั่วไป นิยมใช้บรรจุสิ่งของ เพื่อเคลื่อนย้ายไปอีกแห่งในระยะสั้น ส่วนใหญ่ถุงพลาสติกใช้สำหรับบรรจุของใช้ในครัวเรือน เช่นของกิน เหมาะกับสิ่งของที่มีน้ำหนักเบา มักเห็นใช้กันตามซูเปอร์มาร์เก็ต เพื่อความสะดวกต่อผู้ที่มาซื้อสินค้าภายในห้าง ปัจจุบันถุงพลาสติก มีให้เลือกใช้ทั้งแบบหูหิ้ว และ แบบสีสันมากมาย แถมยังมีชนิดบาง ชนิดที่หนา ให้ได้เลือกใช้ตามวัตถุประสงค์
ขั้นตอนการผลิตถุงพลาสติก
วิธีการผลิต ถุงพลาสติก มีขั้นตอนหลายขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูปวัสดุพลาสติกจากเม็ดพลาสติกดิบ (หรือที่เรียกว่า “เรซิน”) จนกลายเป็นถุงพลาสติกที่พร้อมใช้งาน สำหรับการผลิตถุงพลาสติกโดยทั่วไปจะใช้พลาสติกประเภท โพลิเอทิลีน (PE) เป็นหลัก ซึ่งสามารถแบ่งขั้นตอนการผลิตได้ดังนี้
- การเตรียมวัสดุพลาสติก (Resin Preparation) การเลือกและจัดหาวัตถุดิบ: เม็ดพลาสติกที่ใช้สำหรับผลิตถุงพลาสติกมักจะเป็น โพลิเอทิลีน (PE) ที่มีลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆ หรือเรียกว่า เรซิน (Resin) ซึ่งอาจมาจากการกลั่นน้ำมันดิบหรือก๊าซธรรมชาติ การผสมสารเติมแต่ง (Additives): เม็ดพลาสติกสามารถผสมสารเติมแต่ง เช่น สี สารป้องกันรังสี UV หรือสารทำให้พลาสติกแข็งแรงขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับการใช้งานของถุงพลาสติกนั้นๆ
- การหลอมและเป่า (Extrusion and Blowing) การหลอม (Extrusion): เม็ดพลาสติกจะถูกนำไปหลอมในเครื่องหลอมพลาสติก โดยใช้ความร้อนสูง เพื่อให้เม็ดพลาสติกกลายเป็นของเหลวหรือเป็นพลาสติกที่มีลักษณะคล้ายเส้นหรือฟิล์มบางๆ การเป่า (Blowing): หลังจากหลอมแล้ว พลาสติกที่ได้จะถูกเป่าให้เป็นฟิล์มบางๆ โดยใช้เครื่องเป่าที่ทำให้พลาสติกมีลักษณะเหมือนหลอดหรือฟิล์มโปร่งใส ถุงพลาสติกส่วนใหญ่จะผลิตจาก การเป่าฟิล์ม ซึ่งทำให้ได้ถุงที่มีความยืดหยุ่นและทนทาน กระบวนการนี้แบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอนหลัก: Extrusion Blow Molding: เป็นกระบวนการที่ใช้ในกรณีที่ต้องการผลิตฟิล์มหรือถุงพลาสติกที่มีความหนา Cast Film Extrusion: ใช้เพื่อผลิตฟิล์มบางที่มีความโปร่งใสและมีคุณสมบัติทนทาน
- การตัดและรีด (Cutting and Sealing) การตัดฟิล์ม (Cutting): หลังจากฟิล์มพลาสติกถูกเป่าออกมาในขั้นตอนก่อนหน้านี้แล้ว ฟิล์มจะถูกตัดเป็นชิ้นๆ ตามขนาดที่ต้องการ การเชื่อมและปิดปากถุง (Sealing): ถุงพลาสติกส่วนใหญ่จะมีการ เชื่อมปากถุง โดยใช้ความร้อนหรือแรงกด เพื่อให้ถุงปิดสนิท ตัวอย่างเช่น ถุงหูหิ้วทั่วไปจะมีการเชื่อมที่หูหิ้วเพื่อให้ใช้งานสะดวก การเชื่อมด้วยความร้อน (Heat Sealing): โดยใช้แผ่นความร้อนที่จะทำให้พลาสติกที่ปลายถุงหลอมละลายแล้วเชื่อมติดกัน การเชื่อมด้วยแรงกด (Cold Sealing): ใช้การกดด้วยแรงเพื่อเชื่อมพลาสติกโดยไม่ต้องใช้ความร้อน ซึ่งเหมาะสำหรับพลาสติกบางประเภท
- การทำลายฟิล์มหรือการพิมพ์ลาย (Printing and Decoration) ถุงพลาสติกบางชนิดอาจมีการพิมพ์ลวดลาย โลโก้ หรือข้อความต่างๆ บนถุงเพื่อทำให้สินค้ามีความน่าสนใจและสามารถสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักได้ ซึ่งการพิมพ์บนถุงพลาสติกสามารถทำได้ด้วยเทคนิคต่างๆ เช่น: การพิมพ์แบบซิลค์สกรีน (Silk-Screen Printing): ใช้ในการพิมพ์ลวดลายหรือโลโก้บนถุงพลาสติก การพิมพ์ฟิล์ม (Flexographic Printing): ใช้สำหรับการพิมพ์แบบหมึกอ่อน ซึ่งจะทำให้ได้งานพิมพ์ที่คมชัดและสามารถพิมพ์ได้หลายสี
- การตรวจสอบคุณภาพและบรรจุภัณฑ์ (Quality Control and Packaging) การตรวจสอบคุณภาพ: หลังจากที่ถุงพลาสติกผลิตเสร็จสิ้นแล้ว จะมีการตรวจสอบคุณภาพเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีรอยรั่ว, ชำรุด, หรือปัญหาอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการผลิต การบรรจุถุง: ถุงพลาสติกจะถูกบรรจุลงในบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมเพื่อการขนส่งหรือการจัดจำหน่าย
- การขนส่งและการจัดจำหน่าย (Shipping and Distribution) หลังจากผลิตถุงพลาสติกเสร็จสิ้นแล้ว จะมีการขนส่งไปยังตลาดหรือร้านค้า เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถนำไปใช้งานได้แล้ว
ลักษณะถุงพลาสติก
- แบบชนิดบางเป็น ถุงพลาสติกมีหูหิ้ว ใช้สำหรับใส่สินค้าที่มีน้ำหนักเบา ฉีกขาดได้ง่าย ขึ้นอยู่กับการบรรจุสิ่งของที่เหมาะสม
- แบบชนิดหนามีหูหิ้ว นิยมใช้ในซูเปอร์มาร์เก็ต แถมยังมีสีสัน และ สกรีนชื่อแบรนด์ลงไป เพื่อให้เป็นที่จดจำของผู้ใช้ และผู้พบเห็น เหมาะบรรจุสิ่งของเครื่องครัวที่มีน้ำหนัก แต่ไม่มากจนเกิดการฉีกขาด
- แบบชนิดหนาไม่มีหูหิ้ว จะเป็นประเภท ถุงพลาสติกขยะ หรือ ถุงขยะ สามารถใส่ของหนัก รวมถึงขยะทั่วไปได้ ปัจจุบันมีหลายขนาดให้เลือก ใหญ่สุดคือ 45*60 ที่นิยมใช้กัน
ทำไมต้องใช้ถุงพลาสติก
- หาซื้อได้ง่ายมากกว่าถุงประเภทอื่น
- มีราคาที่ถูกกว่า และ ไม่ต้องดูแลระหว่างใช้งาน
- สะดวกใช้งานง่าย เหมาะกับการบรรจุสิ่งของ หรือ ของใช้ทั่วไป
- มีน้ำหนักเบา สะดวกต่อการพกพา สามารถดัดแปลงการใช้งานได้
- กันน้ำ กันความชื้นได้เป็นอย่างดี ป้องกันสิ่งของเสียหายจากของเหลว
- ใช้ครั้งเดียวโดยสามารถทิ้งได้ทันที
การใช้ถุงพลาสติกแบบถูกต้อง และ ได้ประโยชน์มากที่สุด
ปัจจุบันความสะดวกสบายที่ได้จาก ถุงพลาสติก ก็มักจะส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมอยู่ไม่น้อย เนื่องจากปริมาณของ ถุงพลาสติก ที่ใช้ต่อวันสูงขึ้นเท่าตัว ซึ่งการใช้ถุงพลาสติกส่วนใหญ่แล้ว มักจะใช้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นถุงพลาสติกก็จะกลายเป็นขยะ ซึ่งหากทิ้งถุงพลาสติก หรือ กำจัดถุงพลาสติกได้ไม่ถูกวิธี ก็จะสามารถสร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมได้พอสมควร เช่น กระทบต่อแม่น้ำลำคลองทำให้เกิดน้ำเสีย รวมไปถึงท้องทะเล ที่สัตว์ทะเลกินเข้าไปอาจอันตรายถึงชีวิต นอกจากนั้นยังส่งผลเสียกลับมายังมนุษย์ เมื่อมีการรับประทานอาหารทะเลเข้าไปอีกด้วย ซึ่งการใช้ถุงพลาสติกได้อย่างถูกต้อง ได้ประโยชน์มีดังนี้
- นำกลับมาใช้ใหม่ หากถุงพลาสติกยังมีความแข็งแรง ควรนำกลับมาใช้ใหม่ เพื่อลดปริมาณการใช้ถุงพลาสติกที่มากเกินไป
- ควรทิ้งถุงพลาสติก โดยไม่ทิ้งรวมกับขยะประเภทอื่นๆ เพื่อง่ายต่อการกำจัด
- นำไปรีไซเคิล (Recycle)เพื่อลดจำนวนการผลิตให้ลดลง ต่อการใช้ถุงพลาสติกที่มากเกินความจำเป็น
- คัดแยกประเภทถุงพลาสติกก่อนทิ้งให้ถูกต้อง เช่น HDPE,LDPE,PP เป็นต้น
การใช้ถุงพลาสติกได้อย่างถูกวิธีคือ การใช้ถุงพลาสติกอย่างมีสำนึก, ลดการใช้ถุงพลาสติกที่ไม่จำเป็น หรือทำการรีไซเคิล และ เลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ถุงพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ การใช้ถุงพลาสติกอย่างถูกวิธี ไม่ทิ้งลงแหล่งน้ำธรรมชาติ ไม่เพียงแต่ช่วยลดปัญหามลพิษพลาสติกในโลก แต่ยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมและสร้างโลกที่ยั่งยืนสำหรับอนาคตอีกด้วย



